ขั้นตอนการฝากไข่ (Egg Freezing): คู่มือกระชับสำหรับผู้วางแผนมีบุตรในอนาคต
การฝากไข่คือการเก็บไข่ของผู้หญิงด้วยเทคโนโลยีแช่แข็งอุณหภูมิต่ำมาก เพื่อใช้ในการทำเด็กหลอดแก้วในอนาคต เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเลื่อนการตั้งครรภ์หรือมีความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจกระทบคุณภาพไข่ การเก็บไข่ในช่วงอายุน้อย โดยเฉพาะ 25–35 ปี จะให้คุณภาพดีที่สุดและเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์เมื่อใช้ไข่ในอนาคต

ทำไมต้องฝากไข่ในวัยที่ยังสาว?
เมื่ออายุมากขึ้น จำนวนไข่และคุณภาพของโครโมโซมจะลดลง โอกาสเกิดความผิดปกติและโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จจากไข่แช่แข็งก็ลดลงด้วย การฝากไข่ในช่วงที่ร่างกายแข็งแรงและรังไข่ทำงานดีจึงเป็นการ “เก็บศักยภาพการมีบุตรไว้ล่วงหน้า” แม้จะใช้ในวัย 40 ปีขึ้นไปก็ตาม
ใครบ้างที่เหมาะกับการฝากไข่?
ผู้หญิงอายุ 25–40 ปี ที่ยังไม่พร้อมมีบุตร
ผู้ที่ต้องการเลื่อนการตั้งครรภ์เพราะงาน ไลฟ์สไตล์ หรือด้านเศรษฐกิจ
ผู้มีความเสี่ยง เช่น ภาวะรังไข่เสื่อมก่อนวัย หรือประวัติครอบครัวมีปัญหาทางพันธุกรรม
ผู้ที่จะรับเคมีบำบัดหรือผ่าตัดที่อาจกระทบการทำงานของรังไข่
ผู้ที่มี AMH ต่ำแต่ยังอยู่ในช่วงวัยที่สามารถเก็บไข่ได้
การเริ่มฝากไข่ก่อนอายุ 35 ปีให้คุณภาพดีที่สุด แต่ช่วง 35–40 ปีก็ยังมีประโยชน์ในเชิงอนาคต
การเตรียมตัวก่อนเริ่มกระบวนการ
1. ตรวจสุขภาพและประเมินรังไข่
แพทย์จะตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมน เช่น AMH, FSH, LH และ Estradiol รวมถึงการคัดกรองโรคติดเชื้อ นอกจากนี้จะอัลตราซาวด์นับจำนวนฟองไข่เริ่มต้น (AFC) เพื่อวางแผนปริมาณยากระตุ้นและประเมินจำนวนไข่ที่คาดว่าจะเก็บได้
2. เตรียมร่างกายล่วงหน้า 1–3 เดือน
การเตรียมสุขภาพที่ดีช่วยให้รังไข่ตอบสนองต่อยากระตุ้นได้มีประสิทธิภาพและได้จำนวนไข่มากขึ้น
ขั้นตอนการฝากไข่
1. การกระตุ้นไข่ (ประมาณ 10–12 วัน)
ต้องฉีดยาฮอร์โมนทุกวันเพื่อให้ไข่หลายใบโตในรอบเดือนเดียว ยาที่ใช้ประกอบด้วยยากระตุ้นรังไข่ ยาป้องกันไข่ตกก่อนกำหนด และยากระตุ้นให้ไข่สุก แพทย์จะนัดอัลตราซาวด์ติดตามขนาดฟองไข่ 2–4 ครั้ง เพื่อกำหนดวันที่เหมาะสมสำหรับการเก็บไข่
2. การเก็บไข่ (Egg Retrieval)
เป็นหัตถการใช้เวลาประมาณ 15–20 นาที ทำภายใต้การอัลตราซาวด์ทางช่องคลอดและใช้เข็มดูดไข่ออกจากฟองไข่ ผู้ป่วยได้รับยานอนหลับแบบอ่อน ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ หลังทำอาจแน่นท้องเล็กน้อย จำนวนไข่เฉลี่ยที่ได้ตามช่วงอายุคือ
25–30 ปี: 12–20 ใบ
31–35 ปี: 8–15 ใบ
36–40 ปี: 5–12 ใบ
3. การแช่แข็งไข่ (Vitrification)
เทคโนโลยี Vitrification เป็นมาตรฐานทั่วโลก เพราะลดการเกิดผลึกน้ำแข็งซึ่งอาจทำลายเซลล์ไข่ อัตรารอดหลังละลายสูงถึงประมาณ 90–95% ไข่ถูกเก็บไว้ในไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิ -196°C สามารถเก็บได้หลายปีโดยคุณภาพแทบไม่เปลี่ยนแปลง
ความเสี่ยงและผลข้างเคียง
ภาวะรังไข่ตอบสนองมากเกินไป (OHSS) อาจทำให้ท้องอืดหรือแน่นท้อง พบไม่บ่อย
อาการเจ็บหลังเก็บไข่ มักหายภายใน 1–3 วัน
การติดเชื้อหรือเลือดออก พบได้น้อยมาก
แพทย์จะปรับขนาดและชนิดยาเพื่อลดความเสี่ยงแต่ละราย
การดูแลหลังทำหัตถการ
เพื่อลดอาการไม่สบาย ควร
หากมีไข้สูง ปวดท้องมาก หรือเลือดออกผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ทันที
วางแผนหลังฝากไข่: สิ่งที่ควรรู้
ผู้หญิงจำนวนมากมักใช้ไข่ที่แช่แข็งเมื่ออายุ 38–45 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่การตั้งครรภ์ตามธรรมชาติลดลงแล้ว ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของการตั้งครรภ์จากไข่แช่แข็ง ได้แก่
โดยทั่วไป หากเก็บไข่ในช่วงอายุ 30–34 ปี จำนวน 10–15 ใบ จะมีโอกาสตั้งครรภ์ในระดับที่ดีเมื่อใช้เทคโนโลยีเด็กหลอดแก้วในอนาคต
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ (ปี 2568)
ค่าใช้จ่ายแตกต่างตามปริมาณยาที่ใช้และการตอบสนองของรังไข่ โดยเฉลี่ยประกอบด้วย
ตรวจสุขภาพและอัลตราซาวด์: 5,000–12,000 บาท
ค่ายากระตุ้นไข่: 30,000–70,000 บาท
ค่าหัตถการเก็บไข่: 35,000–60,000 บาท
ค่าแช่แข็งไข่: 20,000–40,000 บาท
ค่าเก็บรายปี: 8,000–15,000 บาท
สรุป
การฝากไข่เป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสการมีบุตรสำหรับผู้หญิงที่ต้องการวางแผนอนาคตอย่างยืดหยุ่น การทำในช่วงอายุที่เหมาะสม ดูแลสุขภาพให้ดี และเข้าใจขั้นตอนอย่างครบถ้วน จะช่วยให้การเก็บไข่มีคุณภาพและใช้งานได้ผลที่สุดในอนาคต